พระหยกสุพรรณ วัดธรรมมงคล 2535  

Posted by Honeybee


พระหยกสุพรรณ วัดธรรมมงคล 2535

พระหยกสุพรรณ วัดธรรมมงคล 2535
                                        พร้อมกล่อง
หยกแท้ หายากมาก หมดแล้วหมดเลย

ราคา 750 บาท จัดส่งฟรีแบบไปรษณีย์ลงทะเบียน
ติดต่อ: Line ID: 8billion หรือ เมมเบอร์ 0869269793 เพิ่มเพื่อนในไลน์แล้วติดต่อรายละเอียดกันเช่น การโอนเงิน การจัดส่ง เป็นต้นครับ หากท่านโทรมาอาจจะรับสายไม่ได้เนื่องจากทำงานประจำครับ
*ถ้าหากท่านประสงค์อยากได้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผมเพื่อความสบายใจก็สามารถบอกได้นะครับ

Amulet Name: Jade Buddha
Price: 750 Thai Baht (Ex-Factory)

For Thai people at oversea or foreigners who interested in this amulet, please kindly contact me at sak_39@hotmail.com for further discussion.

การรับประกัน
รับคืนเงินภายใน 30 วัน หากผู้บูชาตรวจทราบว่าเป็นพระเก๊ โดยมีหนังสือรับรองจากผู้เชี่ยวชาญที่วงการพระเครื่องให้การยอมรับ
อนึ่ง ในการส่งคืน พระจะต้องอยู่ในสภาพเดิม ไม่ชำรุดหักบิ่น เสียสภาพ

การผนึกรวมกันของ2พลังอำนาจ
1.หยกธรรมชาติแท้จากนิมิตมหัศจรรย์ของหลวงพ่อวิริยังค์วัดธรรมมงคล ลูกศิษย์ พระอุปัฏฐากหลวงปู่มัน พระอรหันต์ยุคปัจจุบัน
2.พระผงสุพรรณ หนึ่งในเบญจภาคี ที่พุทธคุณทางด้านเมตตา แคล้วคลาด ร่ำรวย มีโชค

พระหยกสุพรรณนี้ เป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธรูปหยกศรีไทย วัดธรรมมงคล ซึ่งเป็นส่วนจากการแกะสลักของนายช่างชาวอิตาลี่ เมื่อปี2535 จึงเป็นการมั่นใจได้ว่าพระหยกองค์นี้เป็นหยกแท้100%ทั้งยังมีที่มาจากการอธิษฐานจิตจากพระอริยะเจ้าลูกศิษย์พระอรหันต์อย่างหลวงปู่มั่นอีกด้วย การประดับเครื่องประดับด้วยหยกแท้ก็นับว่ามีพลังเสริมดวงเสริมบารมีแล้ว และยังเป็นหยกที่แกะสลักเป็นรูปพระผงสุพรรณที่มีอานุภาพลือเลื่องดังมีสนเทห์ว่า ถ้าเอาพระวางไว้บนหัวแล้วต่อสู้กับข้าศึกก็จะไม่เป็นอันตรายไดๆเลย ก็ยิ่งเสริมดวงให้ผู้ส่วมใส่มีพลังอำนาจเพิ่มขึ้นไปอีก


เนื้อหยกเขียวบริสุทธื์ เนื้อเดียวกับองค์พระ
พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย(หลวงพ่อหยก)
ที่มาของพระหยก วัดธรรมมงคล
เมื่อประมาณปี พ.ศ.2535 เราคนไทยคงจะจำข่าวอันเป็นมงคลเกี่ยวเนื่องทางพระพุทธศาสนากันได้ เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมทางหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ไม่เว้นแม้แต่โทรทัศน์ที่สนใจติดตามข่าวโดยนำไปเผยแพร่ถึงความมหัศจรรย์ที่เราได้พบหยกสีเขียวขนาดมหึมา ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากที่รอคอยมานานแสนนาน
ความต้องการรัตนชาติล้ำค่าชนิดนี้ เกิดขึ้นจากปณิธานของ พระราชธรรมเจติยาจารย์ หรือหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล กรุงเทพฯ พระสงฆ์รูปนี้ท่านเป็นศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาสักองค์หนึ่ง เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการสืบทอดพระพุทธศาสนา
ให้รุ่งเรืองสืบไปภายหน้า ซึ่งวัตถุที่หลวงพ่อต้องการจะนำมาแกะสลักพระตามที่ท่านกำหนดไว้ในใจก็คือ หยกสีเขียว ขนาดใหญ่และบริสุทธิ์ จึงหาได้ยากยิ่งในเมืองไทยและต่างประเทศ แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อที่จะรอคอย
มาในภายหลังหลวงพ่อวิริยังค์ท่านทราบข่าวว่าในประเทศแคนาดามีบริษัททำเหมืองหยก ท่านจึงได้เดินทางไปยังประเทศแคนาดาในปี พ.ศ.2530 การเดินทางครั้งนั้นท่านเดินทางไปพร้อมกับลูกศิษย์ของท่าน เพื่อไปสืบหาหยกสีเขียวมาแกะสลักให้ได้ แต่เมื่อเดินทางไปถึงแล้วก็ยังไม่พบหยกตามต้องการ ท่านจึงเข้าพบเจ้าของบริษัททำเหมืองหยก ขอสั่งจองก้อนหยกขนาดใหญ่ไว้ หากขุดได้ท่านจะซื้อกลับมาเมืองไทย
จากนั้นท่านและคณะศิษย์ก็ได้เดินทางกลับมารอฟังข่าวที่เมืองไทย เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆก็ยังไม่มีข่าวดีสักที เพราะแม้ทางเหมืองจะขุดพบหยกสีเขียว และนำขึ้นมาได้ก็ยังไม่ได้ขนาดตามที่หลวงพ่อต้องการ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 5 ปี ในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2534 ช่วงเวลาตีสาม ซึ่งเป็นเวลาที่หลวงพ่อวิริยังค์ได้นำพระภิกษุ สามเณรในวัดธรรมมงคลลุกขึ้นนั่งสมาธิเป็นปกติ ขณะที่ท่านนั่งสมาธิก็ได้เกิดนิมิตเห็นหยกสีเขียวบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมาปรากฏ เมื่อออกจากสมาธิท่านจึงมั่นใจว่าคราวนี้จะต้องได้พบหยกสีเขียวตามที่ตั้งใจไว้แน่ๆ ท่านจึงกำหนดเดินทางไปยังประเทศแคนาดาอีกครั้ง
ทันทีที่ได้ไปถึงเมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ซึ่งเป็นรัฐใหญ่ของประเทศแคนาดา ท่านก็ทราบข่าวว่ามีการขุดพบหยกสีเขียว ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการขุดพบมา ซึ่งสถานที่พบหยกก้อนนี้ไม่ใช่ที่เหมืองหยก แต่เป็นเหมืองทองคำของ นายจอห์น สกัสเลอร์ ชาวเยอรมัน นายจอห์นผู้นี้เข้ามาแสวงโชคในแคนาดาด้วยการทำเหมืองหาสินแร่ทองคำนานหลายสิบปีแล้ว กิจการนับว่ารุ่งเรืองและการขุดพบหินหยกครั้งนี้เป็นการพบโดยไม่คาดฝันมาก่อน ซึ่งวันที่ขุดพบก็ตรงกับวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2535 ตรงกับวันที่หลวงพ่อวิริยังค์ท่านนั่งสมาธิมีนิมิตเห็นหยกสีเขียวพอดี ดูจะเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ไม่น้อย นายจอห์นเล่าว่าวันนั้นขณะกำลังคุมงานขุดหาแร่ทองคำตามปกติ จู่ๆเขาก็เกิดความต้องการจะให้คนงานขุดเจาะลงไปยังที่แห่งหนึ่ง โดยไม่มีเหตุผลและไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะอะไรจึงอยากให้ขุดบริเวณนั้นขึ้นมา ซึ่งเมื่อคนงานเริ่มขุดเจาะผิวดินและหินก็พบว่าตรงบริเวณนั้นมีสายแร่ทองคำมากพอสมควร จึงให้ขุดต่อไปอีก เมื่อขุดต่อไปสายแร่ทองคำก็หายไป นายจอห์นก็จะบอกให้หยุดขุดเพียงเท่านั้น แต่ไม่ทราบว่าเพราะอะไรจึงพูดไม่ออกและน่าแปลกที่คนงานซึ่งกำลังขุดก็ไม่ทักท้วง ทั้งๆที่ไม่ได้แร่ทองคำขึ้นมาเลย คล้ายกับมีพลังอำนาจจากอะไรบางอย่างบังคับให้ขุดต่อไป จนในที่สุดความอัศจรรย์ก็บังเกิดเมื่อมีการขุดพบก้อนหยกสีเขียวขนาดมหึมาอยู่ภายในหลุมลึก เป็นหยกสีเขียวที่สมบูรณ์สวยงาม ไร้รอยตำหนิ เพียงก้อนเดียวที่มาผุดในเหมืองทองคำ และน่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นก็คือจากการสันนิษฐานจากนักธรณีวิทยาผู้ร่วมทีมขุดและจากความเชี่ยวชาญของนายจอห์นเอง ทำให้แน่ใจว่าหยกก้อนนี้ไม่ใช่หยกที่เกิดขึ้นในสถานที่นี้ แต่หยกก้อนนี้ได้เคลื่อนตัวจากยอดเขาสูงสุดคือยอดเขาคิงส์เม้าน์เทนลงมา และใช้เวลาเคลื่อนไหลไม่ต่ำกว่า 8,000-10,000 ปีอย่างแน่นอน กว่าจะมาปรากฏ ณ ที่ขุดพบ
และหลังจากขุดพบหยกก้อนนี้ก็ต้องใช้เวลาถึง 7 วัน กว่าจะนำขึ้นจากดินได้โดยไม่มีส่วนใดบุบสลาย ฝ่ายเจ้าของเหมืองคือนายจอห์นนั้น ยิ่งพอรู้ว่าหลวงพ่อวิริยังค์ต้องการติดตามสืบหาหยกเขียวบริสุทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อนำไปแกะสลักองค์พระพุทธรูปเป็นตัวแทนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะประดิษฐ์ไว้ในประเทศไทยก็ยิ่งขนลุกด้วยความปีติ เขาเชื่อว่าการค้นพบครั้งนี้เป็นปาฏิหาริย์แน่นอน หยกก้อนนี้ต้องมีเทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยเฝ้าปกปักรักษาไว้เพื่อเป็นรัตนชาติในพระพุทธศาสนาเท่านั้น จึงบันดาลให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น
เมื่อรัตนชาติสีเขียวก้อนนี้เดินทางมาเมืองไทยก็ได้มีพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติ และหลังจากเสร็จสิ้นพิธีก็ต้องเฟ้นหาช่างฝีมือเพื่อมาแกะสลักหยกให้เป็นองค์พระพุทธรูป ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าช่างแกะสลักฝีมือเยี่ยมที่สุดในโลกมีอยู่ที่ประเทศอิตาลีเท่านั้น ดังนั้น หลวงพ่อวิริยังค์จึงต้องเดินทางไปประเทศอิตาลีอีกครั้ง เพื่อไปติดต่อช่างแกะสลักนายหนึ่งชื่อว่า เปาโล เวี้ยกกี้ โดยที่ไม่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า ทราบแต่เพียงว่าช่างคนนี้เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยด้วย แต่เมื่อคณะของหลวงพ่อเดินทางไปถึงก็ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยปิดและไม่สามารถติดต่อช่างเปาโลได้เลย เพราะไม่รู้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ ทำให้หลวงพ่อผิดหวังอย่างยิ่งจึงต้องเดินทางกลับเมืองไทย
แต่แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะก่อนที่จะเดินทางในวันรุ่งขึ้น คณะของหลวงพ่อได้พากันไปซื้อรองเท้าที่ร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่ช่างเปาโลก็เข้าไปซื้อรองเท้าในร้านเดียวกัน จึงได้เจรจารายละเอียดและนัดหมายในเรื่องการแกะสลักพระพุทธรูปหยกเขียว หลังจากนั้นช่างเปาโลและช่างอีกคนหนึ่งชื่อ ซีซี่ก็เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อทำการแกะสลักหยกสีเขียวเป็นองค์พระพุทธรูป ซึ่งมีการเปิดเผยในภายหลังจากปากของช่างเปาโลว่า เขารู้สึกประหลาดใจมากในการมาแกะสลักพระพุทธรูปหยกครั้งนี้ เพราะขณะที่เขากำลังแกะสลักนั้น มันเหมือนกับมีแม่เหล็กมาดูดที่มือเขาตลอดเวลา และตามความรู้สึกของเขานั้นเหมือนกับพระพุทธเจ้า เสด็จมาคอยให้เห็นอยู่ตรงหน้าและเวลาฝันก็จะฝันเห็นพระพุทธเจ้าอยู่บ่อยครั้ง
จากเรื่องราวทั้งหมดทำให้เราได้สัมผัสกับความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้ ซึ่งปัจจุบันถูกประดิษฐานอยู่บนชั้น 3 ของศาลาพระปรมาภิไธยย่อภปร. ภายในวัดธรรมมงคล สุขุมวิท 101 องค์พระพุทธรูปหยกเขียวนี้ มีพระนามเต็มว่า พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย หรือ หลวงพ่อหยก ซึ่งโดยพุทธลักษณะแล้วเป็นพระพุทธรูปที่ถูกบรรจงแกะสลักอย่างงดงามและหาดูได้ยากยิ่ง

อานุภาพพระผงสุพรรณ
พระผงสุพรรณพระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.สุพรรณบุรี นับเป็นพระเครื่องที่ทรงคุณค่ายิ่ง นอกเหนือจากพุทธศิลปะอู่ทองอันเข้มขลังแล้ว พุทธคุณขององค์พระยังเลื่องชื่อลือชาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ซึ่งปรากฏในจารึกลานทองที่ได้จากกรุและถูกคัดลอกออกเป็น 6 สำเนา กล่าวถึงกรรมวิธีการสร้าง และ "อุปเท่ห์" อันหมายถึงวิธีการอาราธนาองค์พระเพื่อให้ท่านช่วยเหลือในสถานการณ์ต่างๆ สำหรับ "พระผงสุพรรณ" แล้วท่านได้ระบุว่าฤาษีผู้สร้างได้ลำดับอุปเท่ห์ไว้ดังนี้
-แม้อันตรายสักเท่าใดก็ดีให้นิมนต์พระใส่ไว้บนศีรษะหรืออาราธนาผูกไว้ที่คอ อันตรายทั้งปวงหายสิ้น แล
-ถ้าจะเข้าการรณรงค์สงคราม ให้เอาพระสรงน้ำมันหอม เสกด้วยนวหรคุณ แล้วเอาน้ำมันหอมมาใส่ผม ไปได้สำเร็จความปรารถนาแล
-ถ้าผู้ใดจะประสิทธิ์ด้วยหอกดาบศาสตราวุธทั้งปวง ให้อาราธนาพระสรงน้ำมันหอมใส่ชันสัมฤทธิ์ พิษฐานเอาตามความปรารถนาเถิด แล้วเสกด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ 108 คาบ พาหุง 13 จบ เอาน้ำมันหอมทาทั้งหน้า คอ หน้าอก แลผม จะสำเร็จผลตามความปรารถนาทุกอย่าง อยู่คงกระพันชาตรี ศาสตราวุธทั้งปวงจะมิมาต้องตัวผู้นั้นเลย ศักดิ์สิทธิ์แท้
-ถ้าผู้ใดจักใคร่ได้มาตุคาม ท่านให้อาราธนาพระสรงน้ำมันหอม แล้วเอาน้ำมันหอมนั้นมาใส่ใบพลูประสิทธิ์แก่คนผู้นั้น จะศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้นั้นแล
-ถ้าจะให้มีสง่าราศีเป็นสิริมงคลการเจรจาให้ผู้อื่นเชื่อฟังยำเกรง ท่านให้อาราธนาพระสรงน้ำมันหอม หุงขี้ผึ้งสีปาก เสกด้วยนวหรคุณ 13 จบ พาหุง 13 จบ พระพุทธคุณ 13 จบ ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนบูชา ทำพิธีในวันเสาร์ แล้วเอาขี้ผึ้งทาริมฝีปาก หน้าอก แลผม จะศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้นั้นตามปรารถนา คนทั้งหลายทั้งกลัวทั้งเกรง เก็บไว้ใช้ได้เสมอ เป็นมหาวิเศษ
-ถ้าว่าจะค้าขายก็ดี จะไปหนบกหนเรือก็ดี ท่านให้นมัสการด้วยบทพาหุง แล้วอาราธนาพระสรงน้ำมันหอม เสกด้วยอิติปิโส 11 คาบ แล้วเอาน้ำมันหอมนั้นประพรมของ เอามาลูบหน้า ลูบศีรษะ และกินบ้าง ถ้าแม้จักไปขายหนบกหนเรือก็ศักดิ์สิทธิ์ คนทั้งหลายขายไม่ได้เราก็ขายได้
-ถ้าจะคิดการสิ่งใดหรือจักไปหนไหนๆ จะให้สมความปรารถนา ท่านให้อาราธนาพระใส่บนศีรษะก็จักสมความปรารถนาประเสริฐนักแล
-ถ้าจักให้สวัสดิมงคล เจริญผลสถาพรทุกเมื่อ ให้เอาดอกไม้ ดอกบัวบูชาทุกวัน ถวายพรพระพิมพ์ทุกวัน จะปรารถนาสิ่งใดก็สำเร็จผลทุกอันแล
-ถ้าไปในที่ต่างๆ อยากกินน้ำ หาน้ำไม่ได้ ท่านให้อาราธนาพระใส่ไว้ในปาก หายอยากน้ำแล
-ถ้าเอาพระไว้บนศีรษะแล้ว ปืนแลหน้าไม้ยิงมาเป็นห่าฝนก็ไม่ถูกตัวเรา
-ถ้าจะให้เป็นมหาจังงัง ให้อาราธนาพระไว้บนศีรษะ แล้วท่านให้อธิษฐานเอาเถิดสัตว์ทั้งหลายทำร้ายเราไม่ได้เลย คงยืนอยู่อย่างนั้น เงื้อก็เงื้อเปล่า ทำอะไรเราไม่ได้
-ถ้าเกิดเป็นถ้อยความ ขึ้นโรงศาล จักให้ถ้อยความนั้นละลายหายสูญไป ท่านให้อาราธนาพระสรงน้ำมันหอม แล้วเอาด้าย 11 เส้นทำไส้เทียน เอากระดาษยันตร์ใส่ชื่อมันห่อใส่เทียนนั้น เสกด้วยนวหรคุณ ตามถวายพรพระ บูชาประดิษฐานไว้ แล้วพิษฐานเอาตามความปรารถนาเถิด จะประสิทธิ์แก่ผู้นั้น ฝ่ายมันสู้เรามิได้เลย ศักดิ์สิทธิ์แล ให้เอาคาถานี้ทำเส้นเทียนเถิด

พระองค์นี้จึงเรียกได้ว่า เป็นการรวมอานุภาพพลังงานของสิ่งศักดิ์ทั้งสองนี้รวมกัน

หมายเหต: ยังมีพระหยกแกะเป็นรูปพระสมเด็จ ปี 2536 ตามLinkนี้ครับ http://prakruangthai.blogspot.com/2017/05/2536.html?m=1

ล็อกเก็ต 100ปี หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต  

Posted by Honeybee


ด้านหลังมีหลังมวลสารพระกัมมัฏฐานสายหลวงปู่มั่น เส้นเกศาและจีวรหลวงปู่ 

ราคา: โชว์เท่านั้น
Line ID: 8billion

"หลวงปู่บุญฤทธิ์" (หรือฉายา "ช้างเผือกผาแด่น" ที่หลวงปูชอบ ฐานสโม ผู้เป็นอาจารย์ตั้งให้) ท่านบวชเมื่อปี ๒๔๘๙ หลังจากที่ได้อยู่จำพรรษากับพระอาจารย์กู่ ที่วัดป่าอรุณรังษี อ.เมือง จ.หนองคาย ระยะหนึ่งแล้ว ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง แล้วจึงกลับไปอยู่ที่วัดสุปฏินาราม จ.นครราชสีมา จากนั้นได้ไปอยู่ที่วัดป่าลุมพุก จ.อุบลราชธานี ได้ฝึกปฏิบัติธรรมภาวนา และเรียนรู้เรื่องของปฏิจจสมุปบาทตอนต้น จนได้ปัญญา ทำให้ความคิดที่อยากจะลาสิกขาหายไป โดยตั้งใจใหม่ว่าจากนี้ไปจะขออยู่ในสมณเพศไปตลอดชีวิต
            ต่อมาท่านได้เดินทางไปอยู่กับพระอาจารย์ลี ธัมมธโร  (ศิษย์รุ่นที่ ๒ ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) ที่วัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี พอออกพรรษาปี ๒๔๙๑ ท่านได้เดินทางไป จ.เชียงใหม่ พักที่วัดเจดีย์หลวง พอถึงวันวิสาขบูชา มีพระป่าสายกรรมฐาน ศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ร่วม ๑๐๐ รูป มาชุมนุมกันที่นั่น นับเป็นโอกาสอันดีที่หลวงปู่จะได้พบกับพระผู้ใหญ่หลายรูป อาทิ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ฯลฯ
            สำหรับหลวงปู่ชอบ นับเป็นศิษย์รูปสำคัญของพระอาจารย์มั่นท่านหนึ่ง โดยมีผู้ยกย่องว่าท่านเป็นผู้มี อภิญญาสูงมาก
            คำว่า "อภิญญาสูงมาก" นี่เองที่ทำให้หลวงปู่บุญฤทธิ์เกิดความศรัทธานับถือ จึงได้เดินทางไปขอพบเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์
            ณะนั้นหลวงปู่ชอบจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านยางผาแด่น อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ อันเป็นสำนักสงฆ์ที่ท่านได้สร้างขึ้นในหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง อยู่บนภูเขาสูง กลางดงป่าใหญ่ ทุรกันดารมาก ไม่มีทางรถไปถึง การเดินทางต้องบุกป่าฝ่าหนามปีนเขาขึ้นไปเท่านั้น
            พระผู้ใหญ่หลายท่านที่ได้ทราบข่าว ต่างพากันห้ามหลวงปู่บุญฤทธิ์ว่าอย่าไปเลย เพราะหนทางลำบากมาก แต่ท่านก็ไม่เชื่อฟัง โดยได้ตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่แล้วว่าจะต้องเดินทางไปให้ถึงจนได้
            หลวงปู่บุญฤทธิ์ ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า... "ญาติโยมได้ว่าจ้างคนหามของบุกไป พื้นดินเป็นแต่ขี้โคลนครึ่งเข่า เดินขึ้นเขาสูงครึ่งวัน ทั้งวันจะหารอยเท้าคน รอยเท้าสัตว์ ไม่มีเลย ทางไปลำบากมาก วนเดินหลงป่าอยู่ ๒ หน ไปถึงสำนักสงฆ์หลวงปู่ชอบเอาเกือบค่ำ แอบบ่นในใจว่า...แหมท่านอาจารย์ ทำไมมาอยู่ที่ยากอย่างนี้หนอ..."
            พอไปถึงได้พบกับหลวงปู่ชอบแล้ว ท่านได้จุดเทียนอธิษฐาน ปวารณาขอจำพรรษาบนเขาสูง วัดป่าบ้านยางผาแด่น กับหลวงปู่ชอบ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในปีนั้น (พ.ศ.๒๔๙๓) โดยได้ทำหน้าที่ถวายอุปัฏฐากหลวงปู่ชอบทุกอย่าง ขณะเดียวกันก็ได้รับคำแนะนำสั่งสอนในการปฏิบัติธรรมกรรมฐานจากหลวงปู่ชอบด้วย
            ต่อมาเมื่อออกพรรษา หลวงปู่ชอบได้ลงไปจากเขา ส่วนหลวงปู่บุญฤทธิ์ยังอยู่ต่อไปเพียงรูปเดียว เพราะท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้วว่าจะขออยู่บนนี้ ๓ ปี จึงต้องทำตามที่ได้ตั้งใจอธิษฐานไว้
            ในพรรษาที่ ๒ ท่านพ่อลี ธัมมธโร ได้ขึ้นมาอยู่บนเขานี้ด้วย และได้สอนให้หลวงปู่บุญฤทธิ์นั่งสมาธิแบบปฏิภาคนิมิต อานาปานสติกรรมฐาน คือ การทำสมาธิโดยกำหนดลมหายใจเข้าออก ซึ่งท่านพ่อลีเป็นผู้เชี่ยวชาญทางนี้มาก
            หลวงปู่บุญฤทธิ์ได้ปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่บนเขาบ้านยางผาแด่นจนครบ ๓ ปีตามที่ได้อธิษฐานไว้ หลังจากนั้นท่านได้ลงมาจากเขาสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ โดยได้เดินทางไปอยู่วัดโน่นบ้างวัดนี้บ้าง ที่เป็นวัดป่าสายพระอาจารย์มั่น ในหลายๆ จังหวัด เป็นเวลาหลายปี รวมทั้งได้ไปดูแลการก่อสร้างวัดป่าที่ จ.สตูล อีกด้วย
            พ.ศ.๒๕๑๗ หลวงปู่ได้รับหน้าที่ให้เป็นพระธรรมทูต ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่ประเทศออสเตรเลีย รวมทั้งการสอนปฏิบัติธรรมภาวนา เผยแผ่ให้ทั้งคนไทยในออสเตรเลีย และชาวต่างชาติที่สนใจ รวมทั้งได้เขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติธรรมภาวนา ที่เป็นชาวต่างชาติได้เรียนรู้เข้าใจง่ายขึ้น
ที่มา: http://www.komchadluek.net/

พระนางพญา  

Posted by Honeybee

ชื่อพระ: นางพญา
ราคา: Line: 8billion


พระนางพญาองค์ที่เห็นอยู่นี้ พิมพ์เข่าตรง สร้างในยุคขององค์พระวิสุทธิกษัตรีย์
จำนวนพระ หนา – กลาง – บาง อย่างละ 84,000 องค์ เท่ากับจำนวนพระธรรม 84000 พระธรรมขันธ์
 ด้านข้างทั้งสามด้าน มีรอยตอกตัดแยกองค์พระออกจากกันชัดเจน โดยไม่ใช้มีด เพื่อให้ไม่สามารถแพ้มนต์ดำของข้าศึกศัตรูได้  

ข้อมูล

พระนางพญาเป็นหนึ่งในชุดเบญจภาคี

  สำหรับตำนานแห่งพุทธคุณของพระชุดเบญจภาคีนั้น มีคติความเชื่อว่า

              ๑.พระสมเด็จวัดระฆัง จัดได้ว่าเป็นสุดยอดพระเครื่องตลอดกาล หรือ "จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง" พุทธคุณครอบจักรวาล เน้นบุญฤทธิ์ หนุนดวงชะตา เมตตามหานิยม แคล้วคลาดภัยพิบัติ คงกระพัน โชคลาภ ใครมีบารมีได้ไว้จะรุ่งเรืองไม่มีวันตกต่ำ

              ๒.พระนางพญา พุทธคุณเป็นพระสร้างความเด่นด้านเมตตากรุณาและเป็นสวัสดิมงคล เน้นทางอิทธิฤทธิ์แกร่งกล้า คงกระพันชาตรี มิหวั่นเกรงคมศัสตราวุธ แคล้วคลาด ชนะศัตรู มีบารมี ผู้คนเกรงใจ

              ๓.พระซุ้ม ก หรือกำแพงเม็ดขนุน พุทธคุณเน้นทางโภคทรัพย์ เป็นมหาอำนาจวาสนาบารมี เป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง ไม่มีวันจน

              ๔.พระผงสุพรรณ พุทธคุณเน้นด้านเมตตาบารมี การเป็นผู้นำ น่าเกรงขาม คงกระพัน การมีโชค โภคทรัพย์ ความมีเสน่ห์ ขจัดทุกข์ ความสงบ หนักแน่น

              ๕.พระรอด พุทธคุณเน้นเมตตามหานิยม อยู่ยงคงกระพัน อุดมด้วยโภคทรัพย์ ร่ำรวยทรัพย์ เด่นทางแคล้วคลาด คุ้มภัย

  พระนางพญา หรือ พระพิมพ์นางพญา ซึ่งนิยมกันว่าเป็น ราชินีแห่งพระเครื่อง เป็นพระเครื่องที่พบอยู่ในพระเจดีย์ และบริเวณวัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดสร้างไว้ ในแผ่นจาลึกลานทองของพระครูอนุโยค วัดราชบูรณะ มีผู้คัดลอกกันไว้ว่า พระนางพญาสร้างในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา จากการพิจารณาเนื้อดินและพุทธศิลปะของพระนางพญาแล้ว มีความเก่าถึงช่วงต้น ๆ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เฉพาะพิมพ์เข่าโค้งช่างในสมัยอยุธยาได้สร้างขึ้นเลียนแบบศิลปะสมัยสุโขทัย ซึ่งเห็นได้อย่างเด่นชัด นอกจากพิมพ์นี้พิมพ์เข่าตรงยังมีลักษณะใกล้เคียงกับศิลปะสมัยพระเจ้าอู่ทอง ๒ จากภูมิสถานของวัดนางพญาก็อยู่ในสกุลช่างเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงกษัตริย์ทุกพระองค์ที่เคยครองเมืองพิษณุโลกแล้วพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถครองเมืองพิษณุโลกนานที่สุด ในสมัยกรุงศรีอยุธยานับเป็นยุคทองของพระพุทธศาสนาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมืองพิษณุโลกเป็นราชธานีแห่งที่ ๒ มีความพรั่งพร้อมทั้งกำลังพลและกำลังทางเศรษฐกิจ พระนางพญาคงสร้างขึ้นเมื่อปลายปี พ.ศ.๒๐๐๗-๒๐๒๕ ในคราวเดียวกันกับที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก่อสร้างพระปรางค์แบบต้นสมัยอยุธยาที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลกและได้บูรณะพระสถูปเจดีย์ใหญ่ ฐานคล้ายเจดีย์มอญ ที่วัดราชบูรณะ ซึ่งพระสถูปเจดีย์องค์นี้ยังเป็นสง่า อยู่ริมฝั่งลำน้ำน่านจนบัดนี้

          พระนางพญา เป็นพระดินเผาที่มีเนื้อหยาบที่สุดในบรรดาพระเนื้อดินชุดเบญจภาคี มีเนื้อสีอิฐแดงเหลือง เนื้อเขียว  เนื้อดำ จุดเด่นของเนื้อพระนางพญา คือ มวลดินประเภทเม็ดทรายที่แทรกปนอยู่ในเนื้อเป็นจำนวนมากเรียกกันว่าเม็ดแร่ ขนาดสัณฐานของเม็ดทรายจะต้องใกล้เคียงกันทั่วองค์พระ เพราะเป็นเนื้อที่ผ่านการกรองมาแล้ว

ข้อมูลจาก : เบญจภาคีดอทคอม

พิมพ์และตำหนิเอกลักษณ์

พระนางพญา มี ๗ พิมพ์ ด้วยกัน คือ  
          ๑. พิมพ์เข่าโค้ง 
          ๒. พิมพ์เข่าตรง 
          ๓. พิมพ์เข่าตรง ( มือตกเข่า) 
          ๔. พิมพ์อกนูนใหญ่ 
          ๕. พิมพ์สังฆาฏิ 
          ๖. พิมพ์อกนูนเล็ก 
          ๗. พิมพ์อกแฟบ ( พิมพ์เทวดา) 

ตำหนิเอกลักษณ์
          ๑. พระเกศเหมือนปลีกล้วย
          ๒. ปรากฏกระจังหน้าชัดเจน
          ๓. หน้าผากด้านขวาขององค์พระจะยุบหรือบุบน้อยกว่าหน้าผากด้านซ้ายขององค์พระ
          ๔. ปลายหูด้านซ้ายมือขององค์พระ จะติดเชื่อมกับสังฆาฎิ
          ๕. ปลายหูด้านขวามือขององค์พระ จะแตกเป็นหางแซงแซว
          ๖. เส้นอังสะจะช้อนเข้าใต้รักแร้
          ๗. จะมีเม็ดผดขึ้นอยู่ระหว่างเส้นอังสะกับเส้นสังฆาฎิ
          ๘. ท้องขององค์พระจะมีกล้ามเนื้อเป็น ๓ ลอน
          ๙. ปลายมือพระหัตถ์ข้างซ้ายขององค์พระจะแหลมแตกเป็นหางแซงแซว
          ๑๐. พระหัตถ์ที่วางบนเข่า จะไม่มีนิ้วมือยื่นเลยลงมาให้เห็น


 ข้อมูลจาก : เบญจภาคีดอทคอม